การจัดการความต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดแมลงของแมลงศัตรูพืช (Insecticide Resistance Managements :IRM) หรือเรียกง่ายๆ ตามภาษาชาวบ้านก็คือ การแก้ไขแมลงดื้อยานั้น ในทางทฤษฎีแล้วมีอยู่หลายวิธี เช่น
1.การจัดการโดยใช้ความไม่รุนแรงหรือใช้ความนุ่มนวล (Management by moderation) โดยพ่นสารกำจัดแมลงในอัตราความเข้มข้นที่ต่ำกว่าค่าความเป็นพิษของสารเคมีที่ทำให้แมลงไม่ตาย 100% ซึ่งระดับนักวิชาการจะใช้ค่าที่เรียกว่า เลทานโดส 90 (Lethal Dose 90: LD90) หรือความเข้มข้นที่ทำให้แมลงตายแค่ 90% เพื่อรักษาจำนวนสายพันธุ์อ่อนแอ (Susceptible population:SS gene) ไว้บางส่วนไว้ประมาณ 10% ซึ่งแมลงสายพันธุ์อ่อนแอที่รอดชีวิตนั้นจะผสมพันธุ์ กับประชากรที่เริ่มมียีนหรือพันธุกรรมต้านทานแฝงอยู่ (RS gene) ลูกหลานของแมลงเกิดมาในรุ่นต่อมาก็ยังคงมีพันธุ์อ่อนแอหลงเหลือรอดชีวิตต่อไป ไม่ให้ประชากรของแมลงพัฒนาความต้านทาน (Resistance population:RR gene) เร็วเกินไป แต่ทฤษฎีนี้ในพื้นที่ปลูกพืชนั้น จะต้องมีประชากรที่มีพันธุกรรมต้านทานแฝง (RS gene) ปะปนในประชากรน้อย และจะต้องมีแมลงสายพันธุ์ที่มีพันธุกรรมอ่อนแอ (SS gene) มีมาก พูดง่ายๆ ก็คือ ในพื้นที่นั้นแมลงเพิ่งจะเริ่มดื้อยานั่นเอง แต่ปัจจุบันไม่ยอมมีบริษัทใดใช้ทฤษฎีนี้ เพราะในบ้านเราแมลงมักมีประชากรดื้อยาอยู่มาก โดยเฉพาะสารกำจัดแมลงที่ใช้มานาน
2.การจัดการแบบใช้ความรุนแรงหรือกำจัดให้ราบคาบ (Management by saturation) ทฤษฎีนี้ให้มีการพ่นสารอัตราความเข้มข้นที่สูงกว่าปกติ เพื่อกำจัดประชากรที่มีพันธุกรรมต้านทานแฝง ( RS gene) ให้หมดไปจากพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อไม่เปิดโอกาสให้เกิดประชากรแมลงดื้อยา ( RR gene) แต่ในพื้นที่นั้นมีประชากรของแมลงพันธุกรรมต้านทานแฝง (RS gene) และประชากรแมลงดื้อยา (RR gene) มีมาก และแมลงสายพันธุ์อ่อนแอ (SS gene) จะต้องมีน้อย หรือไม่มีเลย ในที่นี้ผู้เขียนเคยลองให้เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้พ่นสารคาร์โบซัลแฟน 20%อีซี พบว่าอัตราที่สามารถใช้กำจัดเพลี้ยไฟในกล้วยไม้ที่ดื้อยาสุดๆ แถวนครปฐม ต้องใช้อัตราสูงถึง 80-100 ซีซี แสดงว่าทฤษฎีนี้ใช้ได้ แต่ปัญหาที่ตามมาคือ กล้วยไม้ไม่สามารถทนทานได้ เกิดผลกระทบต่อคุณภาพของดอกกล้วยไม้ ดังนั้นทฤษฎีนี้ แม้จะใช้ได้ แต่จะต้องคำนึงถึงต้นทุน และผลกระทบต่อพืชที่จะตามมา
3.การจัดการโดยการใช้สารเพิ่มฤทธิ์ (Management by synergists) สารเพิ่มฤทธิ์มีหลายชนิด เช่น ไพเพอร์โรนิลบิวทอกไซด์ (piperonyl butoxide:PBO) ซีซาเม็กซ์ (sesamexs) , เอ็มจีเค 264(MGK264) , เอส-421(S-421), เวอร์บูติน(Verbutin), ซัลฟอกไซด์(sulfoxide), ทรอปิทอล(Tropital) และโพรพิลไอโซม (propyl isome) ส่วนมากจะใช้กับสารกลุ่มไพรีทรอยด์ เช่น เฟนวาเลอเรต+PBO จะมีฤทธิ์เพิ่มขึ้น (synergist ratio) กับแมลงวันบ้าน 2 - 4 เท่า เพอร์เมทริน+PBO , เดลทาเมทริน+PBO, ซีทาไซเพอร์เมทริน+ PBO แต่เนื่องจากสารเหล่านี้มีราคาแพงจึงมักจะใส่สารเพิ่มฤทธิ์กับผลิตภัณฑ์สารกำจัดแมลงในบ้านเรือน เพื่อกำจัดยุง แมลงวัน เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงดื้อยา เพราะถ้ายุงดื้อยาจะเกิดปัญหาโรคระบาดที่มียุงเป็นแมลงพาหะ ซึ่งจะกระทบชีวิตมนุษย์อย่างร้ายแรง ในส่วนของเคมีเกษตรนั้นเคยมีการใช้สารเพิ่มฤทธิ์กับสารกำจัดแมลงบางชนิด เช่น อัลฟ่าไซเพอร์เมทริน+พีบีโอ(PBO) ชื่อการค้าซุปเปอร์คอร์ด แต่ปัจจุบันไม่มีการนำมาผสมแล้วเนื่องจากสารเพิ่มฤทธิ์มีราคาแพง ผู้เขียนเคยวิจัยโดยลองหาสารที่สกัดจากพืชที่มีคุณสมบัติเป็นสารเพิ่มฤทธิ์ เช่น น้ำมันงา ที่มีองค์ประกอบของสารซีซามีน (sesamin) ซึ่งพบว่าเพิ่มประสิทธิภาพสารเคมีหลายชนิดในการป้องกันกำจัดหนอนเจาะสมอฝ้ายในฝ้าย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่น้ำมันงามีราคาแพงมาก จึงไม่คุ้มค่าต่อการที่จะลงทุนนำมาใช้เป็นสารเพิ่มฤทิ์กำจัดแมลง คงต้องให้น้ำมันงาอยู่ในครัวจะเหมาะสมกว่า
4.การใช้วิธีผสมผสาน (Integrated Pest Management ; IPM) ใช้หลายๆวิธีผสมผสานกัน เช่น วิธีเขตกรรม วิธีกล วิธีทางกายภาพ ชีววิธี สารเคมี เป็นต้น