การพัฒนาความต้านทานของเพลี้ยไฟต่อสารกำจัดแมลงจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วถ้าเกษตรกรใช้สารเคมีต่ำกว่าอัตราแนะนำตามฉลาก หรือใช้สารเคมีชนิดเดียวหรือสารที่มีกลไกการออกฤทธิ์แบบเดียวกันซ้ำๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน เมื่อเพลี้ยไฟต้านทานต่อสารกำจัดแมลงชนิดนั้นหรือกลุ่มนั้นแล้ว จะทำให้ประสิทธิภาพของสารกำจัดแมลงชนิดนั้นหรือกลุ่มนั้นลดลง หรือต้องใช้ในอัตราที่สูงขึ้นเพื่อให้ได้ผลเหมือนเดิม ทำให้สิ้นเปลืองและเป็นอันตรายต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม หรือหากเกิดความต้านทานในระดับรุนแรง สารกำจัดแมลงชนิดนั้นหรือกลุ่มนั้นอาจไม่มีประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้
โดยทั่วไปในธรรมชาติประชากรแมลงจะมีทั้งตัวที่อ่อนแอ และตัวที่แข็งแรงต้านทานต่อสารกำจัดแมลงปะปนกันอยู่ แต่มักจะมีตัวที่อ่อนแอในอัตราส่วนที่มากกว่า เมื่อพ่นสารกำจัดเพลี้ยไฟครั้งแรก เพลี้ยไฟอ่อนแอส่วนใหญ่จะตาย แต่เพลี้ยไฟส่วนน้อยที่ต้านทานต่อสารกำจัดแมลงจะอยู่รอดและมีโอกาสผสมพันธุ์กันเอง ทำให้ในรุ่นถัดไปมีอัตราส่วนเพลี้ยไฟที่ต้านทานต่อสารกำจัดแมลงเพิ่มมากขึ้น เมื่อพ่นสารกำจัดแมลงชนิดเดิมซ้ำๆ ต่อไป จะทำให้เพลี้ยไฟถูกคัดเลือกเหลือแต่ตัวที่แข็งแรงต้านทานต่อสารกำจัดแมลงชนิดนั้น
-
สารกำจัดแมลงแทรกซึมเข้าที่ผิวลำตัวแมลงได้น้อยลง
-
ลดการตอบสนองต่อฤทธิ์ของสารกำจัดแมลง
-
แมลงสามารถเพิ่มอัตราการย่อย และขับสารกำจัดแมลงออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
-
แมลงมีพฤติกรรมหลีกหนีต่อการได้รับสารกำจัดแมลงอย่างรวดเร็ว
การสลับกลุ่มสารเคมี หรือสารที่มีกลไกการออกฤทธิ์เดียวกันเพื่อลดปัญหาการต้านทานสารกำจัดแมลง
-
การพ่นสารกำจัดแมลงแบบหมุนเวียนเพื่อชะลอความต้านทานที่เหมาะสม ควรมีกลุ่มสารอย่างน้อย 3-4 กลุ่ม โดยควรคำนึงถึงช่วงเวลาที่มีการระบาดของแมลง ต้นทุนการพ่นสารกำจัดแมลง (ราคา/อัตราน้ำที่ใช้) และราคาผลผลิต
-
การใช้สารกำจัดแมลงให้มีประสิทธิภาพ ควรใช้สารตามอัตราที่แนะนำบนฉลาก
-
แต่ละช่วงการพ่นจะนานประมาณ 1 ช่วงอายุขัยของแมลงศัตรูพืช ควรพ่นสารกำจัดแมลงในกลุ่มเดิมหรือสลับกับกลุ่มอื่น เมื่อปริมาณแมลงมีมากถึงระดับเศรษฐกิจ (ระดับตัดสินใจในการพ่นสาร) เท่านั้น
-
ในช่วงการพ่นต่อมาจะต้องไม่พ่นสารกำจัดแมลงกลุ่มเดียวกันกับที่เคยพ่นมาแล้วก่อนหน้า เช่น ต้องพ่นเรียงกันจากสารกลุ่ม ก. ไป ข. ไป ค. ไป ง. ก่อน จึงกลับมาพ่นกลุ่ม ก. ได้
ตัวอย่างการพ่นสารกำจัดแมลงแบบหมุนเวียนเพื่อกำจัดเพลี้ยไฟในพืชต่างๆ
เพลี้ยไฟฝ้าย (Thrips palmi Karny) ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเข้าทำลายดอกกล้วยไม้ โดยใช้ปากเขี่ยเนื้อเยื่อให้ช้ำแล้วดูดน้ำเลี้ยงจากเซลล์พืช บริเวณที่ถูกทำลายเกิดรอยด่างขาว เพลี้ยไฟสามารถทำลายกล้วยไม้ได้เกือบตลอดทั้งปี แต่พบน้อยในช่วงฤดูฝน เกษตกรมีการใช้สารเคมีอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาการดื้อยา สารกำจัดแมลงที่ใช้เป็นประจำไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดแมลงเหมือนเดิม
ขอบคุณข้อมูลจาก กลุ่มบริหารศัตรูพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุงเทพฯ